สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
- คณิตศาสตร์เป็นวิชาของการ 'จำสูตร' ทั้งที่จริง'สูตร'ทั้งหลายเป็นเพียงส่วนหนึ่งของวิชาคณิตศาสตร์ เป้าหมายของการศึกษาคณิตศาสตร์คือการฝึกการคิด การฝึกวิธีคิด ในโจทย์หนึ่งๆ สามารถใช้วิธีการได้หลายวิธีเพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบ แต่การเรียนสอนโดยทั่วไป สอนให้เราใช้สูตรกับโจทย์นั้นแบบตายตัว อีกข้อคือการทำให้คณิตศาสตร์มีความเป็น 'นามธรรม' เกินไปผ่านระบบการท่องจำ ทั้งที่จริงเราสามารถใช้คณิตศาสตร์ในหลายกรณีในชีวิตประจำวัน
- วิชาทางสังคม ประวัติศาสตร์ ระบบการศึกษาทำให้องค์ความรู้ที่อยู่ในตำรากลายเป็น'ความจริง'อันสมบูรณ์และยกสถานะให้'บางเรื่อง'ดูศักดิ์สิทธิ์เกินจริง ทั้งๆที่จริง องค์ความรู้จริงๆ ในตำราเรียนนั้นจะได้ก็ผ่านการ'ตีความผลการศึกษา'มาอีกที อย่างเช่นในหนังสือเรียนประวัติศาสตร์ ความรู้ทางประวัติศาสตร์จริงๆเป็นหน้าที่ของนักประวัติศาสตร์ นักโบราณคดี นักมานุษยวิทยา นักภาษาศาสตร์เชิงประวัติ ซึ่งสำหรับโลกวิชาการทางมานุษยวิทยาแล้ว สิ่งที่บรรดานักวิชาการเหล่านี้ไปพบเจอล้วนแต่สามารถ'ถกเถียงกันได้' (Debatable)และ'ข้อเท็จจริง'ก็เปลี่ยนแปลงได้ถ้ามีหลักฐานหรือร่องรอยการค้นพบใหม่ๆ(หลักการนี้ก็เป็นเช่นเดียวกับวิชาวิทยาศาสตร์ รวมถึงคณิตศาสตร์เอง) อย่างที่ชัดเจนที่สุด ในประเด็นเรื่องต้นกำเนิดของคนไทย ทั้งๆที่นี้เป็นประเด็นที่ยังศึกษาและยังถกเถียงกันยังอยู่ในวงวิชาการ ยังต้องการหลักฐานทั้งในเชิงโบราณคดีหรือในเชิงภาษาศาสตร์(หมายถึงการศึกษาความเหมือน/ต่าง ระหว่างภาษาไทยเองกับภาษาอื่นๆในช่วงเวลาตั้งแต่มีประวัติศาสตร์) แต่สิ่งเหล่านี้'ถูกมองข้าม' เลวร้ายที่สุดคือนำไปบรรจุในตำราเรียนในลักษณะที่ทำให้ผู้เรียนเชื่อได้ว่านี้คือความจริง ตำราเรียนและรูปแบบการสอน รวมถึงการประเมินผลการสอน ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ศึกษานำไปคิดต่อเอง ท้ายที่สุดวิชาเหล่านี้จึงถูกมองว่า 'น่าเบื่อ'
- ครูและตำรา คือ ผู้ผูกขาดองค์ความรู้ ซึ่งผิดถนัด เพราะองค์ความรู้มาจากการศึกษาของแต่ละวิชาโดยละเอียด และองค์ความรู้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ หากมีคนเสนอไอเดียใหม่ๆ องค์ความรู้เกี่ยวกับฟิสิกส์มันอมาจากที่ไหนกันแน่ครับ ? ในตำราเรียน หรือในเครื่องเร่งอนุภาค(CERN) ความรู้ทางดาราศาสตร์มันจะอยู่ไหน ถ้าไม่ได้อยู่อวกาศ แล้วถ้าบุคลากรผู้ทำหน้าสอนหรือถ่ายทอดความรู้ ไม่ติดตามความก้าวหน้าในสาขาวิชาเหล่านี้หรือวิชาที่ตัวเองสอนอย่างจริงจัง จะแน่ใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่สอนนั้นถูกต้อง ? เพราะฉะนั้น องค์ความรู้มันเป็นเรื่องที่ไกลกว่าครู/ตำเรียน ทางที่ดีควรสอนให้เด็กสามารถค้นหาองค์ความรู้ได้เอง เปิดโอกาสให้มีการถกเถียง หาข้อมูลร่วมกัน ซึ่งเรื่องนี้ค่อนข้างจะเป็นเรื่องของวัฒนธรรมการสอนด้วย
- วิชาทางสังคม ประวัติศาสตร์ ระบบการศึกษาทำให้องค์ความรู้ที่อยู่ในตำรากลายเป็น'ความจริง'อันสมบูรณ์และยกสถานะให้'บางเรื่อง'ดูศักดิ์สิทธิ์เกินจริง ทั้งๆที่จริง องค์ความรู้จริงๆ ในตำราเรียนนั้นจะได้ก็ผ่านการ'ตีความผลการศึกษา'มาอีกที อย่างเช่นในหนังสือเรียนประวัติศาสตร์ ความรู้ทางประวัติศาสตร์จริงๆเป็นหน้าที่ของนักประวัติศาสตร์ นักโบราณคดี นักมานุษยวิทยา นักภาษาศาสตร์เชิงประวัติ ซึ่งสำหรับโลกวิชาการทางมานุษยวิทยาแล้ว สิ่งที่บรรดานักวิชาการเหล่านี้ไปพบเจอล้วนแต่สามารถ'ถกเถียงกันได้' (Debatable)และ'ข้อเท็จจริง'ก็เปลี่ยนแปลงได้ถ้ามีหลักฐานหรือร่องรอยการค้นพบใหม่ๆ(หลักการนี้ก็เป็นเช่นเดียวกับวิชาวิทยาศาสตร์ รวมถึงคณิตศาสตร์เอง) อย่างที่ชัดเจนที่สุด ในประเด็นเรื่องต้นกำเนิดของคนไทย ทั้งๆที่นี้เป็นประเด็นที่ยังศึกษาและยังถกเถียงกันยังอยู่ในวงวิชาการ ยังต้องการหลักฐานทั้งในเชิงโบราณคดีหรือในเชิงภาษาศาสตร์(หมายถึงการศึกษาความเหมือน/ต่าง ระหว่างภาษาไทยเองกับภาษาอื่นๆในช่วงเวลาตั้งแต่มีประวัติศาสตร์) แต่สิ่งเหล่านี้'ถูกมองข้าม' เลวร้ายที่สุดคือนำไปบรรจุในตำราเรียนในลักษณะที่ทำให้ผู้เรียนเชื่อได้ว่านี้คือความจริง ตำราเรียนและรูปแบบการสอน รวมถึงการประเมินผลการสอน ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ศึกษานำไปคิดต่อเอง ท้ายที่สุดวิชาเหล่านี้จึงถูกมองว่า 'น่าเบื่อ'
- ครูและตำรา คือ ผู้ผูกขาดองค์ความรู้ ซึ่งผิดถนัด เพราะองค์ความรู้มาจากการศึกษาของแต่ละวิชาโดยละเอียด และองค์ความรู้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ หากมีคนเสนอไอเดียใหม่ๆ องค์ความรู้เกี่ยวกับฟิสิกส์มันอมาจากที่ไหนกันแน่ครับ ? ในตำราเรียน หรือในเครื่องเร่งอนุภาค(CERN) ความรู้ทางดาราศาสตร์มันจะอยู่ไหน ถ้าไม่ได้อยู่อวกาศ แล้วถ้าบุคลากรผู้ทำหน้าสอนหรือถ่ายทอดความรู้ ไม่ติดตามความก้าวหน้าในสาขาวิชาเหล่านี้หรือวิชาที่ตัวเองสอนอย่างจริงจัง จะแน่ใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่สอนนั้นถูกต้อง ? เพราะฉะนั้น องค์ความรู้มันเป็นเรื่องที่ไกลกว่าครู/ตำเรียน ทางที่ดีควรสอนให้เด็กสามารถค้นหาองค์ความรู้ได้เอง เปิดโอกาสให้มีการถกเถียง หาข้อมูลร่วมกัน ซึ่งเรื่องนี้ค่อนข้างจะเป็นเรื่องของวัฒนธรรมการสอนด้วย
ความคิดเห็นที่ 13
1. ครูถูกเสมอ ห้ามเถียงห้ามตั้งข้อสงสัย เด็กช่างถามโดยเฉพาะคำถามไร้สาระคือเด็กมีปัญหาสมควรโดนลงโทษ
- เรียนอเมริกายิ่งถาม prof ยิ่งชอบ เคยมีเด็กอินเดียคนนึงในคลาสยกมือแล้วพูดว่า
"Can I ask a simple, trivial question?"
Prof ตอบว่า "Yes, I like a simple question"
หัวเราะกันทั้งห้อง
2. สอนว่าทุกอย่างมีคำตอบที่ถูกต้องเพียงคำตอบเดียวซึ่งก็คือที่อ. คิด
- ไม่จริงโดยเฉพาะการวิจัยระดับสูงขึ้นไป หลายอย่างจริงก็ต่อเมื่อสมมุติฐานเป็นจริง และหลายอย่างมีหลายคำตอบขึ้นกับว่ามองในมุมไหน
3. ภาษาอังกฤษ
- ถ้าออกเสียงตามที่อ. ไทย native speaker จะฟังไม่รู้เรื่อง...
4. สอนให้เด็กเชื่อว่าพวกเขาจะไม่มีโอกาสได้แก้ไขตัวเองหรือพัฒนาได้ อดีต = ปัจจุบัน = อนาคต
- การศึกษาคือการพัฒนาคนนึง ๆ ให้มีความเป็นคนมากขึ้น การปิดโอกาสไม่ใช่การศึกษา
5. ปลูกฝังให้ยอมรับอำนาจนิยม "Thai education is the root of all evil"
6. "เรียนที่ไทยหรือที่อเมริกาก็เหมือนกัน" การศึกษาไทยดีที่สุดในโลก
- คนบอกคืออ. ที่จบจากอเมริกา อังกฤษ, อื่น ๆ
7. การศึกษาที่เน้นการตัดเท้าให้เข้ากับรองเท้านั่นเหมาะกับไทยที่สุด เด็กคนไทยไหนปรับตัวไม่ได้คือเด็กมีปัญหา
- เรียนอเมริกายิ่งถาม prof ยิ่งชอบ เคยมีเด็กอินเดียคนนึงในคลาสยกมือแล้วพูดว่า
"Can I ask a simple, trivial question?"
Prof ตอบว่า "Yes, I like a simple question"
หัวเราะกันทั้งห้อง
2. สอนว่าทุกอย่างมีคำตอบที่ถูกต้องเพียงคำตอบเดียวซึ่งก็คือที่อ. คิด
- ไม่จริงโดยเฉพาะการวิจัยระดับสูงขึ้นไป หลายอย่างจริงก็ต่อเมื่อสมมุติฐานเป็นจริง และหลายอย่างมีหลายคำตอบขึ้นกับว่ามองในมุมไหน
3. ภาษาอังกฤษ
- ถ้าออกเสียงตามที่อ. ไทย native speaker จะฟังไม่รู้เรื่อง...
4. สอนให้เด็กเชื่อว่าพวกเขาจะไม่มีโอกาสได้แก้ไขตัวเองหรือพัฒนาได้ อดีต = ปัจจุบัน = อนาคต
- การศึกษาคือการพัฒนาคนนึง ๆ ให้มีความเป็นคนมากขึ้น การปิดโอกาสไม่ใช่การศึกษา
5. ปลูกฝังให้ยอมรับอำนาจนิยม "Thai education is the root of all evil"
6. "เรียนที่ไทยหรือที่อเมริกาก็เหมือนกัน" การศึกษาไทยดีที่สุดในโลก
- คนบอกคืออ. ที่จบจากอเมริกา อังกฤษ, อื่น ๆ
7. การศึกษาที่เน้นการตัดเท้าให้เข้ากับรองเท้านั่นเหมาะกับไทยที่สุด เด็กคนไทยไหนปรับตัวไม่ได้คือเด็กมีปัญหา
แสดงความคิดเห็น
มีสิ่งใดบ้างที่ระบบการศึกษาไทยหลอกลวงคุณมาโดยตลอด